แกรนด์ดัชเชสเอลิซาเบธ เฟโอโดรอฟนาแห่งรัสเซีย (รัสเซีย: ????????? ?????????; เยลิซาเวียตา เฟโยโดรอฟนา; 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2407 - 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2461) ทรงเป็นเจ้าหญิงเยอรมันแห่งราชวงศ์เฮสส์และไรน์และพระชายาในแกรนด์ดยุกเซอร์เกย์ อเล็กซานโดรวิชแห่งรัสเซีย พระราชโอรสองค์ที่ห้าในสมเด็จพระจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 2 แห่งรัสเซีย และ เจ้าหญิงมารีแห่งเฮสส์และไรน์ เจ้าหญิงเอลิซาเบธ ซึ่งเป็นพระเชษฐภคินีในสมเด็จพระจักรพรรดินีอเล็กซานดรา เฟโอโดรอฟนาแห่งรัสเซีย จักรพรรดินีองค์สุดท้ายแห่งรัสเซีย ทรงเป็นที่เลืองลือในวงสังคมรัสเซียถึงความงาม ความมีเสน่ห์ และการช่วยเหลือคนยากไร้
เจ้าหญิงเอลิซาเบธประสูติเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2407 ณ เมืองเบสซุนเกิน ใกล้เมืองดาร์มสตัดท์ โดยมีพระนามเต็ม เอลิซาเบธ อเล็กซานดรา หลุยส์ อลิซ และดำรงพระอิสริยยศเป็นเจ้าหญิงแห่งเฮสส์และไรน์ พระองค์เป็นพระธิดาองค์ที่สองในแกรนด์ดยุกลุดวิกที่ 4 แห่งเฮสส์และไรน์และเจ้าฟ้าหญิงอลิซแห่งสหราชอาณาจักร พระองค์เป็นพระราชนัดดาในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียผ่านทางพระชนนี เจ้าหญิงอลิซทรงเป็นผู้เลือกพระนาม "เอลิซาเบธ" ให้กับพระธิดา ด้วยทรงได้รับแรงบันดาลใจจากชีวิตของนักบุญเอลิซาเบธแห่งฮังการี ซึ่งเป็นบรรพสตรีของราชวงศ์เฮสส์ หลังจากการเสด็จเยือนที่อารามของนางในเมืองมาร์บูร์กและมีประสูติกาลพระธิดาพระองค์ที่สอง พระองค์จึงทรงตัดสินพระทัยที่จะตั้งพระนามพระธิดาตามนักบุญคนนั้น เจ้าหญิงเอลิซาเบธมีพระนามเรียกเล่นว่า "เอลลา" ในหมู่พระประยูรญาติ
แม้ว่าจะประสูติในราชวงศ์เก่าแก่และสูงศักดิ์ที่สุดราชวงศ์หนึ่งของเยอรมนี เจ้าหญิงและครอบครัวทรงมีความเป็นอยู่แบบสมถะเมื่อเที่ยบกับมาตรฐานในราชวงศ์ทั่วไป พระโอรสและธิดาจะกวาดพื้นและทำความสะอาดห้องเอง ส่วนพระชนนีจะทรงนั่งเย็บฉลองพระองค์ให้กับพระโอรสและธิดา ช่วงสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย เจ้าหญิงอลิซจะทรงพาเจ้าหญิงเอลิซาเบธไปกับพระองค์อยู่เสมอเมื่อเสด็จไปเยี่ยมทหารที่ได้รับบาดแผลในโรงพยาบาลใกล้เคียง ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและมีความสุขมากเช่นนี้ เจ้าหญิงทรงเจริญพระชนม์ในความเคยชินภายในบ้านแบบที่เป็นอังกฤษ และภาษาอังกฤษกลายเป็นภาษาที่หนึ่งของพระองค์ ในช่วงพระชนม์ชีพระยะต่อมา พระองค์ทรงเล่าให้พระสหายคนหนึ่งฟังว่าพระองค์และพระภคินี พระอนุชาและพระกนิษฐาตรัสภาษาอังกฤษกับพระชนนีและตรัสภาษาเยอรมันกับพระชนก
ในฤดูหนาวของปี พ.ศ. 2421 โรคคอตีบได้ระบาดทั่วทั้งครอบครัวเฮสส์ โดยได้คร่าชีวิตเจ้าหญิงมารี พระกนิษฐา และเจ้าหญิงอลิซ พระชนนีของเจ้าหญิงเอลิซาเบธไป เจ้าหญิงได้ทรงถูกส่งไปที่ตำหนักของพระอัยยิกาเมื่อพระอนุชาพระกนิษฐาเริ่มแสดงอาการของโรคและดังนั้นจึงทรงเป็นสมาชิกในครอบครัวเพียงพระองค์เดียวที่ไม่ได้ติดโรคในครั้งนี้ เมื่อพระองค์ทรงได้รับอนุญาตให้เสด็จกลับมายังครอบครัว ได้ทรงบรรยายถึงการพบปะกันในครั้งนี้ว่า "เศร้าโศกอย่างมาก" และทุกสิ่งทุกอย่างเป็น "เหมือนกับความฝันอันน่ากลัว"
ด้วยความมีเสน่ห์และบุคลิกภาพที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ทำให้นักประวัติศาสตร์และบุคคลร่วมยุคสมัยเดียวกันหลายคนเห็นว่าเจ้าหญิงเอลิซาเบธทรงเป็นหนึ่งในสตรีที่สวยงามที่สุดในทวีปยุโรปในช่วงเวลานั้น เมื่อเข้าสู่วัยดรุณี เจ้าหญิงครั้งหนึ่งเคยทรงเป็นที่หมายปองของอนาคตจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 แห่งเยอรมนี พระองค์ทรงเป็นนักเรียนในมหาวิทยาลัยบอนน์และช่วงสุดสัปดาห์จะเสด็จมาเยี่ยมพระมาตุจฉาอลิซและพระญาติราชวงศ์เฮสส์อยู่บ่อยครั้ง ในช่วงการเสด็จเยี่ยมอยู่เป็นประจำทำให้ทรงตกหลุมรักเจ้าหญิงเอลิซาเบธ ขณะที่ประทับอยู่ที่เมืองบอนน์ พระองค์ก็ทรงเขียนบทกลอนรักและส่งไปให้เจ้าหญิงเป็นประจำ ด้วยรู้สึกเหมือนถูกเยินยอว่าเจ้าหญิงอาจจะทรงสนพระทัยกับบทกลอนเหล่านั้น แต่เจ้าหญิงเอลิซาเบธกลับมิทรงมีใจให้เจ้าชายเลย เจ้าหญิงทรงปฏิเสธพระองค์อย่างสุภาพ และความผิดหวังทำให้ทรงล้มเลิกการศึกษาในเมืองบอนน์แล้วเสด็จกลับกรุงเบอร์ลิน
นอกจากพระจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 พระองค์ทรงมีผู้นิยมชมชอบอื่นอีกหลายคนคือ ลอร์ด ชาร์ลส์ มอนเตกู (23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2403 - 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2482) บุตรชายคนที่สองของดยุกที่ 7 แห่งแมนเชสเตอร์ และ เฮนรี วิลสัน ซึ่งต่อมาได้เป็นทหารดีเด่น
นอกจากนี้แล้วยังมีผู้ที่แอบชื่นชมเจ้าหญิงเอลิซาเบธยังมีอีกคนหนึ่งคือ แกรนด์ดยุกฟรีดริชที่ 2 แห่งบาเดิน ซึ่งเป็นพระญาติชั้นที่หนึ่งของพระจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงบรรยายพระองค์ว่า "แสนดีและคงเส้นคงวา" พร้อมกับ "ฐานะที่มีปลอดภัยและมีความสุข" เป็นอย่างมากจนเมื่อเจ้าหญิงเอลิซาเบธทรงปฏิเสธแกรนด์ดยุกทำให้สมเด็จพระราชินี "ทรงแสนเสียดายอย่างสุดซึ้ง" สมเด็จพระจักรพรรดินีออกัสตา ซึ่งเป็นพระอัยยิกาของแกรนด์ดยุกฟรีดริช ทรงกริ้วกับการปฏิเสธจากเจ้าหญิงเอลิซาเบธต่อพระราชนัดดามากเสียจนต้องใช้เวลาอยู่สักระยะหนึ่งเพื่ออภัยให้กับเจ้าหญิง
แต่แล้วเป็นแกรนด์ดยุกแห่งรัสเซียพระองค์หนึ่งซึ่งในที่สุดได้ชนะพระทัยของเจ้าหญิงเอลิซาเบธ สมเด็จพระจักรพรรดินีมาเรียแห่งรัสเซีย พระราชปิตุจฉาทรงเป็นแขกประจำของแคว้นเฮสส์และไรน์ พระองค์มีพระราชโอรสสองพระองค์คือ แกรนด์ดยุกเซอร์เกย์และแกรนด์ดยุกพอล โดยเสด็จมาด้วย เจ้าหญิงได้ทรงรู้จักแกรนด์ดยุกทั้งสองดีตั้งแต่เมื่อยังทรงพระเยาว์ พระองค์และพระกนิษฐาและอนุชาทรงเห็นว่าทั้งสองทรงถือพระองค์และสงวนท่าที แกรนด์ดยุกเซอร์เกย์ทรงเป็นชายหนุ่มที่ดูจริงจังและเคร่งศาสนาเป็นอย่างมาก แต่เมื่อได้ทรงพบกับเจ้าหญิงเอลิซาเบธที่เจริญพระชนม์เป็นดรุณีแรกรุ่นครั้งแรกหลังจากหลายปีก่อน
ในตอนแรกแกรนด์ดยุกเซอร์เกย์ทรงสร้างความประทับใจให้กับเจ้าหญิงได้เล็กน้อย แต่หลังการเสด็จสวรรคตของพระชนกและพระชนนีภายในปีเดียวกัน ความสะเทือนใจสูญเสียครั้งนี้ทำให้เจ้าหญิงเอลิซาเบธทรงมองแกรนด์ดยุก "ต่างออกไป" พระองค์ทรงรู้สึกถึงความเศร้าโศกแบบเดียวกันภายหลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระชนนี และความคล้ายคลึงกัน (ทั้งด้านศิลปะและศาสนา) ดึงทั้งสองพระองค์ให้เข้ามาใกล้ชิดกันมากขึ้น กล่าวกันว่าแกรนด์ดยุกเซอร์เกย์ทรงผูกพันและถูกพระทัยเจ้าหญิงเอลิซาเบธเป็นพิเศษก็เนื่องจากทรงมีลักษณะแบบเดียวกับพระชนนีอันเป็นที่รักของพระองค์ ดังนั้นเมื่อแกรนด์ดยุกเซอร์เกย์ได้ทรงขออภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงเป็นครั้งที่สอง เจ้าหญิงเอลิซาเบธได้ทรงตอบตกลง ยังความโทมนัสแก่สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย พระอัยยิกาเป็นอย่างมาก
แกรนด์ดยุกเซอร์เกย์แห่งรัสเซียและเจ้าหญิงเอลิซาเบธทรงอภิเษกสมรสเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2427 ณ โบสถ์หลวง พระราชวังฤดูหนาว กรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เจ้าหญิงมีพระนามใหม่ แกรนด์ดัชเชสเอลิซาเบธ เฟโอโดรอฟนา หลังจากการเข้ารีตนิกายออร์โธด็อกซ์รัสเซีย แกรนด์ดัชเชสพระองค์ใหม่ทรงสร้างความประทับใจแรกให้กับพระราชวงศ์ของพระสวามีและชาวรัสเซียได้อย่างดีเยี่ยม พระญาติคนหนึ่งของแกรนด์ดยุกเซอร์เกย์ทรงเล่าว่า "ทุกคนหลงรักพระองค์ตั้งแต่ช่วงเวลาแรกที่เสด็จถึงรัสเซียจากเมืองดาร์มสตัดท์อันที่เป็นที่รักของพระองค์" ทั้งสองพระองค์ประทับที่พระราชวังเบโลเซลสกี-เบโลเซอสกี กรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก หลังจากแกรนด์ดยุกเซอร์เกย์ทรงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าการแห่งมอสโกในปี พ.ศ. 2435 ทั้งสองพระองค์ได้ประทับอยู่ในพระราชวังเครมลิน ในช่วงฤดูร้อน ทั้งสองพระองค์จะประทับที่ตำหนักอิลยินสโค พระราชฐานนอกกรุงมอสโก ซึ่งแกรนด์ดยุกทรงได้รับสืบทอดจากพระชนนี
ทั้งสองพระองค์ไม่มีพระโอรสและธิดาด้วยกัน แต่ตำหนักอิลยินสโคของพระองค์ยังเต็มไปด้วยงานเลี้ยงที่แกรนด์ดัชเชสเอลิซาเบธทรงจัดขึ้นสำหรับเด็กเป็นพิเศษอยู่เสมอ ในที่สุดทั้งสองพระองค์เป็นพระชนกและชนนีบุญธรรมของพระนัดดาที่กำพร้าสองพระองค์คือ แกรนด์ดยุกดมิทรี ปาฟโลวิชแห่งรัสเซีย และ แกรนด์ดัชเชสมาเรีย ปาฟลอฟนาแห่งรัสเซีย
แม้ว่าแกรนด์ดัชเชสเอลิซาเบธจะมิทรงจำเป็นต้องมาเข้ารีตนิกายออร์โธด็อกซ์รัสเซียตามกฎหมายจากนิกายลูเธอรันของพระองค์ แต่ทรงสมัครใจที่จะกระทำเช่นนั้นในปี พ.ศ. 2434 แม้ว่าสมาชิกในพระราชวงศ์รัสเซียบางองค์จะสงสัยถึงเหตุจูงใจ แต่การมาเข้ารีตของพระองค์แสดงให้เห็นออกถึงความจริงใจ
ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2448 แกรนด์ดยุกเซอร์เกย์ทรงถูกปลงพระชนม์ในพระราชวังเครมลินโดยกลุ่มปฏิวัติสังคมนิยม อันนำโดย อีวาน คาลยาเยฟ เหตุการณ์นี้สร้างความตกตะลึงแก่แกรนด์ดัชเชสเอลิซาเบธอย่างมาก แต่พระองค์มิทรงเคยแสดงอาการใดออกให้เห็นเลย ต่อมาพระราชินีมารีทรงเล่าถึงสีพระพักตร์ของแกรนด์ดัชเชสว่า "ซีดเซียวและแข็งทื่ออย่างเสียใจ" และมิทรงเคยลืมคำกล่าวแสดงความเสียใจยังหาที่สิ้นสุดไม่ได้ของพระองค์ พระราชินีมารียังกล่าวอีกว่า "ทรงทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างอ่อนแรง นัยน์ตาแห้งผากและพร้อมกับจ้องมองอยู่ที่เดียวอย่างแปลกประหลาด ทรงมองออกไปยังอากาศธาตุ และไม่พูดอะไรออกมาสักคำ" เมื่อทรงมีแขกมาเยือนและจากไป พระองค์ทอดพระเนตรเหมือนกับไม่ทรงเห็นพวกเขา และตลอดช่วงวันของการลอบประชนม์พระสวามี พระองค์ทรงปฏิเสธที่จะกันแสง แต่พระราชินีมารีทรงเล่าถึงการปลดปล่อยการควบคุมพระองค์อย่างแข็งทื่ออกมา โดยในท้ายที่สุดแล้วทรงกันแสงออกมาอย่างหนัก ครอบครัวและพระสหายของพระองค์เกรงว่าพระองค์จะทรงประสบปัญหากับความล้มเหลวของระบบประสาท แต่ก็ทรงฟื้นคืนสู่การทำใจให้ยอมรับได้อย่างรวดเร็ว
แกรนด์ดัชเชสเอลิซาเบธเสด็จไปเยียมคาลยาเยฟเป็นการส่วนพระองค์ในคุกคุมขังนักโทษ โดยทรงขอให้เขาพิจารณาถึงความรุนแรงในสิ่งที่กระทำลงไปและสำนึกผิดกับมัน ต่อมาพระองค์ทรงร้องขอกับสมเด็จพระจักรพรรดินิโคลาสที่ 2 ให้ทรงอภัยโทษแก่มือสังหารพระสวามี แต่นักปฏิวัติคนนี้ได้ปฏิเสธจะยอมรับการอภัยโทษและกล่าวหาแกรนด์ดัชเชสเอลิซาเบธถึงการบิดเบือนข้อเท็จจริงในการสนทนาระหว่างเขากับพระองค์ คาลยาเยฟถูกแขวนคอในวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2448
หลังจากการสิ้นพระชนม์ของแกรนด์ดยุกเซอร์เกย์ แกรนด์ดัชเชสเอลิซาเบธทรงฉลองพระองค์ไว้ทุกข์และเสวยพระกระยาหารมังสวิรัติ เมื่อปี พ.ศ. 2452 พระองค์ทรงบริจาคชุดเครื่องเพชรพลอยอันงดงามและขายทรัพย์สินอันหรูหราต่างๆ ออกไป แม้แต่พระธำมรงค์ในวันอภิเษกสมรสก็ไม่ได้ทรงเก็บไว้ ด้วยรายได้ที่ทรงรับมา พระองค์ทรงเปิดสำนักแม่ชีนักบุญมาร์ธาและแมรีและทรงเป็นหัวหน้าสำนัก หลังจากนั้นทรงเปิดโรงพยาบาล โบสถ์ โรงยาและสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ในบริเวณสำนักชีอีกด้วย แกรนด์ดัชเชสเอลิซาเบธและเหล่าแม่ชีทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยท่ามกลางคนยากจนและคนป่วยในกรุงมอสโก พระองค์เสด็จยังชุมชนแออัดที่แย่ที่สุดของกรุงมองโกอยู่บ่อยครั้ง และทรงทำทุกวิถีทางที่จะช่วยให้บรรเทาความทุกข์ยากให้แก่คนยากจน
เป็นระยะเวลาหลายปีที่สถาบันศาสนาของแกรนด์ดัชเชสเอลิซาเบธได้ช่วยเหลือคนยากจนและเด็กกำพร้าในกรุงมอสโก โดยส่งเสริมดูแลนักสวดและการกุศลของสตรีที่เคร่งศาสนา ในที่แห่งนี้ได้เกิดมุมมองใหม่ในงานด้านธุรการในโบสถ์ของสตรี ซึ่งเป็นการผสมผสานการไกล่เกลี่ยและการปฏิบัติภายในศูนย์กลางของโลกที่ไร้ระบบระเบียบ แม้ว่าศาสนจักรออร์โธด็อกซ์รัสเซียจะปฏิเสธธุรการโบสถ์ที่เป็นสตรี แต่ก็ยังอวยพรและสนับสนุนในงานการกุศลต่างๆ ของแกรนด์ดัชเชสเอลิซาเบธ
ในปี พ.ศ. 2461 รัฐบาลคอมมิวนิสต์ได้เนรเทศแกรนด์ดัชเชสเอลิซาเบธให้ไปประทับที่เมืองเอคาเทรินเบิร์กในตอนแรก ต่อมาก็ได้ประทับที่เมืองอาลาปาเยฟสก์ ที่ซึ่งพระองค์ทรงถูกปลงพระชนม์อย่างเหี้ยมโหดจากพวกบอลเชวิค เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2461 ไปด้วยกันกับ แกรนด์ดยุกเซอร์เกย์ มิคาอิโลวิช เจ้าชายอิวาน คอนสแตนติโนวิช เจ้าชายคอนสแตนติน คอนสแตนติโนวิช เจ้าชายอิกอร์ คอนสแตนติโนวิชแห่งรัสเซีย เจ้าชายวลาดิมีร์ ปาฟโลวิช พาลี เฟโอดอร์ เรเมซ เลขานุการในแกรนด์ดยุกเซอร์เกย์ วาร์วารา ยาคอฟเลวา แม่ชีในสำนักของแกรนด์ดัชเชสเอลิซาเบธ ทั้งแปดคนถูกมัดรวมเป็นกลุ่มในป่าบริเวณใกล้เคียง ถูกตีบนศีรษะและถูกผลักลงไปในเหมืองแร่อันรกร้างที่มีความลึกประมาณ 20 เมตร
ตามในรายงานส่วนตัวของรียาบอฟ ซึ่งเป็นหนึ่งในมือสังหาร แกรนด์ดัชเชสเอลิซาเบธและคนอื่นๆ รอดชีวิตจากการตกลงไปในเหมืองครั้งแรก ทำให้รียาบอฟต้องปาระเบิดไล่ตามหลังลงไป หลังจากการระเบิดแล้ว เขาก็อ้างว่าได้ยินแกรนด์ดัชเชสและคนอื่นร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าเป็นภาษารัสเซียจากปล่องระบายอากาศ รียาบอฟซึ่งไม่รู้สึกเสียขวัญได้ขว้างระเบิดลูกที่สองลงไป แต่เสียงร้องเพลงก็ยังคงมีต่อไป ในที่สุดพุ่มไม้เตี้ยจำนวนมากมายถูกยัดเข้าในช่องแล้วถูกจุดจนลุกไหม้ โดยที่รียาบอฟสั่งให้คนคุมคนหนึ่งดูเอาไว้และจากไป จากนั้นไม่นานเมืองอาลาปาเยฟสก์ได้ตกอยู่ในการควบคุมของกองทัพรัสเซียขาวต่อต้านพวกบอลเชวิค
เดือนตุลาคม พ.ศ. 2461 พวกรัสเซียขาวค้นพบพระอัฐิของแกรนด์ดัชเชสเอลิซาเบธและผู้ติดตามของพระองค์ ที่ยังคงอยู่ในปล่องระบายอากาศก้นเหมืองอันเป็นที่ซึ่งถูกฆาตกรรม แกรนด์ดัชเชสเอลิซาเบธสิ้นพระชนม์จากบาดแผลอันเกิดจากการตกลงไปในเหมือง และยังทรงมีกำลังที่จะพันแผลให้กับเจ้าชายอิวานที่กำลังจะสิ้นพระชนม์ พระอัฐิของพระองค์ถูกนำออกมาและในที่สุดได้นำไปเก็บไว้ที่กรุงเยรูซาเลม ซึ่งในปัจจุบันอยู่ในโบสถ์มาเรียแม็กดาเลน
แกรนด์ดัชเชสเอลิซาเบธ เฟโอโดรอฟนาทรงได้รับการประกาศให้เป็นนักบุญจากศาสนาจักรออร์โธด็อกซ์รัสเซียนอกประเทศรัสเซียในปี พ.ศ. 2524 และจากศาสนาจักรออร์โธด็อกซ์รัสเซียในปี พ.ศ. 2535 ให้มีพระนามว่า เอลิซาเบธผู้เสียสละพระองค์ใหม่ (New-Martyr Elizabeth) อนุสรณ์สถานหลักของพระองค์คือ สำนักชีนักบุญมาร์ธาและแมรี ซึ่งทรงตั้งขึ้นในกรุงมอสโก นอกจากนี้ยังทรงเป็นหนึ่งในสิบนักบุญผู้เสียสละในคริสต์ศตวรรษที่ 20 จากทั่วโลก ซึ่งแสดงออกเป็นรูปปั้นเหนือประตูใหญ่ตะวันตกของมหาวิหารเวสต์มินส์เตอร์ กรุงลอนดอน
รูปปั้นของแกรนด์ดัชเชสเอลิซาเบธจัดสร้างขึ้นในสวนของสำนักชีของพระองค์หลังจากการล่มสลายของระบบคอมมิวนิสต์ในประเทศรัสเซีย อักษรจารึกเขียนว่า "แด่แกรนด์ดัชเชสเอลิซาเบธ เฟโอโดรอฟนา ด้วยความสำนึกบาปต่อพระองค์"
อ่านบทความฉบับสมบูรณ์ได้ที่ http://th.wikipedia.org/wiki/แกรนด์ดัชเชสเอลิซาเบธ_เฟโอโดรอฟนาแห่งรัสเซีย